Unit 1 Using English Dictionary



บทที่ 1 การใช้ Dictionary



ส่วนประกอบของ Dictionary มี 7 ส่วน


1. Headword is the first word of an entry in a dictionary. It is listed alphabetically.
Headword คือ คำที่เราต้องการค้นหา หรือคำแรกที่ขึ้นต้นในหน้าที่เรากำลังค้นหานั้นเอง
2. Part of speech deseribes the function of the word, for example; noun, verb, adjective of adverb.
Part of speech คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำนาม คำสรรพนาม กริยา กริยาวิเศษ ถ้าเราเปิดดูคำศัพท์เราก็จะรู้ว่าคำนั้น เป็นคำอะไร แล้วส่วนประกอบของคำเป็นอย่างไร
3. Pronunciation describes the way in which a word is pronounced.
Pronunciation ก็คือการออกเสียง เวลาเราดู Dictionary เราสามารถดูได้ว่าคำนี้สามารถออกเสียงได้อย่างไร
4. Meaning informs a word or words mean including American and British English.
Meaning informs คือ ความหมายของคำศัพท์ ว่าความหมายคืออะไร มีกี่ความหมาย คำศัพท์บางตัว มีหลายความหมายนะคะ นักศึกษาควรจำไว้
5. Sample sentence shows how to use a word in a sentence.
Sample sentence คือ ตัวอย่างประโยคที่แสดงให้ดู
6. Idiom describes an expression whose meaning is different from the meaning of the individual words.
Idiom describes คือสำนวนที่แสดงให้ดูว่าคำศัพท์นั้นสามารถนำมาสร้างเป็น สำนวนได้หรือไม่
7. Phrasal verb describes a verb that is formed from two or more words: a verb and a preposition such as go on, sit up, take off. Phrasal verb คือ วลี ที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำได้ เช่น sit up, take off.

ทบทวน Unit 1
การใช้ดิกชั่นนารีภาษาอังกฤษ – อังกฤษ
1.         Guide words   ตัวชี้แนะ  - เป็นคำที่อยู่ด้านบนของดิกชั่นนารี มุมบนซ้ายและขวา
พิมพ์ด้วยตัวหนา 
ด้านบนซ้าย  Left top =  the first word of the page  บอกคำแรกของหน้า
ด้านบนขวา  right top = the last word of the page บอกคำสุดท้ายของหน้า
2.        Spelling การสะกดคำ – หรือการแยกตัวสะกด หรือการแจกลูก ว่าคำศัพท์นั้นมีกี่พยางค์
เช่น into = in-to  มี 2 syllables มี 2 พยางค์ 
3.        Pronunciation = การออกเสียง – เป็นการบอกว่าคำนั้นออกเสียงที่ถูกต้องอย่างไร
และเน้นเสียงหนักที่พยางค์ไหน คำในภาษาอังกฤษที่มีเกินหนึ่งพยางค์ในการออกเสียงคำ
มากกว่าหนึ่งพยางค์จะต้องมีการออกเสียงหนัก-เบา  ในแต่ละพยางค์ ซึ่งการออกเสียงหนัก
เรียกว่า stress (‘)  ถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้แสดงว่าพยางค์นั้นออกเสียงหนัก ถ้ามีสัญลักษณ์สอง
แห่ง หรือสองพยางค์ พยางค์ตัวที่สองจะเป็นบอกว่าพยางค์นั้นออกเสียงเบามาก แทบไม่ได้ยิน
4.        Syllable division = สัญลักษณ์ในการแยกตัวสะกด ตัวอย่างเช่น dot (.) หรือจุด การเว้น
วรรค (หรือเว้นช่องว่าง)  hyphen (-)  เส้นตรง  การใส่สัญลักษณ์แยกเพื่อให้ทราบว่า
ควรเว้นวรรคคำศัพท์นั้นตรงไหน และให้ทราบว่าคำนั้นมีกี่พยางค์
5.        Derivation = คือคำที่เปลี่ยนรูปไปจากคำเดิม อาจจะเปลี่ยนหน้าที่ของคำ (part of
Speech)  หรือเปลี่ยนจากเอกพจน์ เป็นพหูพจน์ (singular –plural)  เช่น
Inform V. = information (n.)   
6.        Definition = ความหมายของคำศัพท์ คือการบอกความหมายของคำ ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่ง
ความหมาย และจะลำดับความหมายที่สำคัญ ๆ ก่อน หากมีมากกว่าหนึ่งความหมายจะมี
ตัวเลขกำกับ
7.        Part of speech = หน้าที่ของคำ  คือการบอกหน้าที่ของคำว่า คำศัพท์นั้นหน้าที่ของคำ
เป็นอะไร เช่น  glass เป็น n. หรือ noun , N. 
8.        Stylistic values = เป็นการบอกรูปแบบการใช้คำว่าคำศัพท์นั้นใช้ใน colloquial (ภาษาพูด)
Archaic (คำโบราณหรือคำที่พบในงานเขียนสมัยก่อน)  literary (วรรณกรรม)
poetic (บทกวี) slang (แสลงหรือภาษาปาก
ภาษาข้างถนน คำพูดที่คิดขึ้นมาใช้เองในระหว่างกลุ่มบุคคล)
Obsolete หรือ obs.  คือคำที่ถูกยกเลิกใช้แล้ว
Colloquial คือคำที่ใช้ในภาษาพูด ไม่นิยมใช้ในภาษาเขียนที่เป็นทางการ
Dialectal คือ ภาษาถิ่น เป็นคำที่ใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ
Slang คือคำที่ไม่สมควรใช้ในภาษาเขียนที่เป็นทางการ แต่ใช้กับบุคคลบางคนและบาง
โอกาสเท่านั้น
9.        Origin of the word = การบอกที่ของคำศัพท์ ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน ก่อนจะมาใช้
เป็นภาษาอังกฤษ หรือคำที่ถูกยืมมาใช้ เช่น
Greek หรือย่อว่า GK เป็นคำที่ยืมมาจากภาษากรีก 
Latin (ตัวย่อ L.) เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาลาติน  
O หรือ OF  ย่อมาจาก Old French) ภาษาฝรั่งเศสในสมัยก่อน
M หรือ ME  ย่อมาจาก Middle English  ยืมมาจากภาษาอังกฤษในยุคกลาง 
10.     Synonyms (SYN.)  คำเหมือน – Antonyms (ATN.) คำตรงข้าม เป็นการบอกว่าคำ
ศัพท์นั้นมีคำเหมือนกับคำว่าอะไร หรือตรงข้ามกับคำว่าอะไร เพื่อให้ได้ทราบความหมาย
ที่เหมือนกัน และแตกต่างกันเพื่อจะได้จดจำคำศัพท์ได้หลากหลาย ซึ่งในบางครั้ง
คำเหมือนอาจใช้คำว่า see, see also, also  และคำตรงข้ามอาจใช้คำว่า opposite
 (opp.)
11.     Idiomatic expression = คือคำที่นำมาทำเป็นสำนวน หรือวลี หรือเป็นประโยคที่
มีความหมายแตกต่างไปจากเดิม   เช่น It’s rain like cat and dog.
ฝนตกยังกะหมาแมวกัดกัน เป็นสำนวนในการเปรียบเทียบว่าฝนตกหนักฟ้าร้อง
12.     Entry words คือจำนวนคำศัพท์ที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือในแต่ละคำ ที่พิมพ์เป็น
ตัวหนาด้านหน้าของคำที่มีความหมายและตัวสะกด เรียงลงมาเป็นรายการในหน้านั้น ๆ
13.     Phrasal verb หรือ compound word  = คือวลี ที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำได้
เช่น sit up ซึ่งคำสองคำ คือ sit = นั่ง และ up = ขึ้น แต่รวมกัน sit up แปลว่า ยืนขึ้น
 take off, sit down, turn on
14.     Samples sentence = shows how to use a word in a sentences.
แสดงตัวอย่างการใช้คำนำมาเขียนเป็นประโยค เพื่อให้เราได้ใช้คำมาทำเขียนเป็น
ประโยคได้ถูกต้อง   เช่น คำว่า sit up  example   Please sit up. 

สรุปตัวย่อที่ใช้ในดิกชั่นนารีภาษาอังกฤษ – อังกฤษ
NAmE  = (North American English)  อังกฤษอเมริกันตอนเหนือหรือภาคเหนือ
Technical  = คำศัพท์เทคนิค หรือศัพท์เฉพาะ
Sth. =  something  บางสิ่งบางอย่าง  บางคำ
SYN.  =  synonyms
ATN. =  Antonyms
Informal =  ภาษาไม่เป็นทางการ
Formal =  ภาษาทางการ
Sb =  somebody  บางคน
Pl. = plural
U = Uncountable noun  นามนับไม่ได้
C = countable noun  นามนับได้
IDM = idiom  คำที่ทำเป็นสำนวน
Etc.  = อื่น ๆ อีกมากมาย (เช่นเดียวกับคำว่า เป็นต้นในภาษาไทย)
BrE  =  British English  ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ
AmE = American English ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน
PHR V= Phrasal verb or compound word หรือคำผสม
คำที่นำมาทำเป็นวลี หรือผสมกันเป็นคำใหม่
Abbr. = abbreviation คือตัวย่อ  คำย่อ  เช่น March  abbr. Mar.
ตัวย่อของคำว่า March คือ Mar.
คำเหมือน  ตัวอย่างการใช้คำเหมือน  เช่น marginalize (BrE also –ise),AmE
หมายความว่า marginalize เป็นคำแบบ อเมริกันอังกฤษ แต่ใน อังกฤษแบบอังกฤษ
ใช้ marginalise  ซึ่งก็มีความหมายเหมือนกัน
Help ก็คือการยกตัวอย่างการใช้คำ จะเหมือนกับคำว่า example, sample of
Sentence


Class Work
1.    Guide word  P. 4 
1.1 analyst  คือคำแรกของหน้า
1.2  ancillary  คือคำสุดท้ายของหน้า
2.Spelling  
         2.1  mar.gin    two syllables
         2.2  marb.ling = two syllables